Vertical Garden” สวนป่าแนวตั้ง แหล่งออกซิเจนสำหรับคนเมือง กับแนวคิดสู่ความยั่งยืน

หลาย 10 ปี ก่อน…พื้นที่ในเมืองเคยปกคลุมไปด้วยท้องทุ่ง ต้นไม้ใหญ่ คู คลอง ที่ขนาบสองข้างทาง

ในวันนี้…ไม่ว่าจะมองไปทางไหน โดยเฉพาะย่านธุรกิจใจกลางเมือง เราก็จะเจอแต่ “ป่าคอนกรีต” อาคารสูงระฟ้าเรียงรายตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถรา ทางด่วน แนวเส้นรถไฟฟ้า ความเจริญต่างๆ ที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา ทำให้พื้นที่สีเขียว ค่อยๆ เลือนหายไปกับกาลเวลา

ป่าคอนกรีต
ป่าคอนกรีต

ถึงแม้คนเมืองยุคใหม่ จะอยู่ในโลกของเทคโนโลยี ใช้ชีวิตท่ามกลางความทันสมัย และสีสันของเมือง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราขาดธรรมชาติไม่ได้ เพราะธรรมชาติคือต้นกำเนิดแห่งมนุษย์ มนุษย์ผูกพันกับธรรมชาติมาตั้งแต่อดีตกาล ตั้งแต่บรรพบุรุษของมนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกเมื่อประมาณ 300,000 ปี มาแล้ว มนุษย์เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของธรรมชาติ มนุษย์อาศัยอยู่ในธรรมชาติ มนุษย์อาศัยธรรมชาติเป็นการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเก็บของป่า ล่าสัตว์ เพื่อเป็นอาหาร การทำอาวุธ มนุษย์กับธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และไม่อาจแยกตัวออกจากกันได้ แต่เป็นที่แน่ชัดว่าปัจจัย 4 ของชีวิต ซึ่งเป็นปัจจัยวัตถุ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย ย่อมได้มากจากการแปรสภาพ หรือการทำลายธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดหินเพื่อมาทำปูนซีเมนต์ หรือการขุดเจาะเหมืองแร่เพื่อทำเหล็ก เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าทรัพยากรธรรมชาติก็ถูกทำลายมากยิ่งขึ้น พื้นที่สีเขียวก็ลดน้อยลง อากาศที่เคยบริสุทธิ์กลับเต็มไปด้วยมลพิษที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเอง

เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล และยั่งยืน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จึงเกิดสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ในคอนเซปท์ “ป่าแนวตั้ง” ซึ่งเป็นการนำพันธุ์ไม้พุ่ม ไม้ดอก ต้นไม้ใหญ่ มาผสานกับการออกแบบอาคารสูง ที่นอกจากจะสร้างสุนทรียภาพทางสายตาแล้ว ยังช่วยดูดซับก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ กรองฝุ่นละออง และมลพิษในอากาศ และยังเพิ่มปริมาณออกซิเจน สร้างอากาศที่บริสุทธิ์ ความร่มรื่นให้กับพื้นที่โดยรอบ ลดความร้อน ลดการใช้พลังงานภายในตัวอาคาร และกันเสียงรบกวนจากภายนอกอีกด้วย

Vertical Garden
Bosco Verticale

ป่าแนวตั้งแห่งโลกของโลกมีชื่อว่า “Bosco Verticale” ซึ่งมีความหมายว่า “Vertical Forest” ในภาษาอังกฤษ อยู่ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ออกแบบโดย Stefano Boeri สถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อดัง ประกอบไปด้วย 2 อาคาร สูง 26 ชั้น (111 เมตร) และ 18 ชั้น (76 เมตร) ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่กว่า 900 ต้น พันธุ์ไม้พุ่ม 5,000 ต้น และพันธุ์ไม้ดอก 11,000 ต้น บนพื้นที่ระเบียงกว่า 8,900 ตารางเมตร ซึ่งสวนป่าแนวตั้งแห่งนี้ประกอบไปด้วยคอนโดมิเนียมจำนวน 400 ยูนิต และ สำนักงาน 11 ชั้น

Vertical Garden
The Tower of Cedars

ตามด้วยผลงานที่ 2 คือ “The Tower of Cedars” ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จำนวน 1 อาคาร สูง 36 ชั้น (117 เมตร) รูปทรงสี่เหลี่ยม ประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้า สำนักงาน ฟิตเนส ร้านอาหาร ที่อยู่อาศัย ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากกว่า 100 ต้น และพันธุ์ไม้ต่างๆ บนพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร โดย Stephano ได้กล่าวไว้ว่า อาคารแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างเมืองกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล

“LES TERRASSES DES CEDRES (THE TOWER OF CEDARS) IS THE LIVING SYMBOL OF A NEW RELATIONSHIP BETWEEN THE URBAN SPHERE AND THE NATURAL SPHERE, CONFIRMING THE BALANCE BETWEEN NATURE AND CITY.”

“The Tower of Cedars” เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ออกแบบโดย Stefano Boeri สถาปนิกชาวอิตาเลียน (Cr. Photo by www.stefanoboeriarchitetti.net)
“The Tower of Cedars” เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ออกแบบโดย
Stefano Boeri สถาปนิกชาวอิตาเลียน (Cr. Photo by www.stefanoboeriarchitetti.net)
และผลงานล่าสุดของ Stefano Boeri คือ “Nanjing Towers” ป่าแนวตั้งแห่งแรกในเอเชียตั้งอยู่ในหนานจิง เมืองหลวงของมณฑลเจียงซู ประเทศจีน ซึ่งในปัจจุบันประเทศจีนกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตด้านหมอกควัน มลพิษทางอากาศ ดังนั้น การสร้างสวนป่าแนวตั้ง จึงเป็นโซลูชั่นการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ชาญฉลาดที่นอกจากจะช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพให้กับเมืองแล้ว ยังปลูกฝังค่านิยมให้คนเมืองหันกลับมารักษ์โลก และปลูกต้นไม้อีกด้วย

“Nanjing Towers” ประกอบไปด้วย 2 อาคาร สำหรับอาคารแรกมีความสูง 200 เมตร ประกอบไปด้วยสำนักงานตั้งแต่ชั้น 8-35 และยังมีพิพิธภัณฑ์ โรงเรียนสีเขียน คลับส่วนตัวบนชั้น rooftop ส่วนอาคารที่ 2 มีความสูง 108 เมตร ประกอบไปด้วยโรงแรม Hyatt จำนวน 247 ห้อง และมีสระว่ายน้ำอยู่ชั้นบนสุด โดยฟาซาด (Fa?ade) ของอาคารปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่จำนวน 600 ต้น ต้นไม้ขนาดกลาง 500 ต้น ทั้งหมด 23 สายพันธุ์ และยังมีพันธุ์ไม้เลื้อย ไม้พุ่มจำนวน 2,500 ต้น บนพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร ซึ่งสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 25 ตัน ต่อปี และผลิดออกซิเจนได้ถึง 60 กิโลกรัมต่อวัน

Vertical Garden
Vertical Garden

และภายในเร็วๆ นี้ จะเกิดสถาปัตยกรรม “สวนป่าแนวตั้ง” (Vertical Garden) ระดับไอคอนนิคแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ภายใต้ชื่อ “Park Origin Phayathai” จาก ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เพียง 250 เมตร จาก BTS พญาไท ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมต่อทุกการเดินทางอย่างไร้ขีดจำกัด จุด Interchange เชื่อมต่อ Airport Rail Link ให้เราเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิได้อย่างง่ายดาย และยังอยู่ห่างจาก BTS สยาม เพียงแค่ 2 สถานี เท่านั้น ซึ่ง BTS สยาม นอกจากจะเป็นจุด Interchange ใหญ่แล้ว ยังเป็นที่ตั้งของแลนด์มาร์คสำคัญไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง Siam Paragon, Siam Center, Siam Discovery และโรงแรม Novotel Bangkok on Siam Square อีกด้วย

Park Origin Phayathai
Park Origin Phayathai

โครงการ “Park Origin Phayathai” เป็น 1 ใน 3 โครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ flagship หรู “Park Origin” ที่มาพร้อมคอนเซปท์ “A Perfect Living Platform” แพลตฟอร์มการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ที่เข้าใจคนเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยออกแบบโครงการให้เป็นมิกซ์ยูส (Mixed-use Project) อสังหาฯ แนวคิดใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียม สำนักงาน โรงแรม ร้านอาหาร และคาเฟ่แบรนด์ชั้นนำ โดยผสาน 3 แกนสำคัญที่เป็นความต้องการของคนเมืองยุคใหม่ ซึ่งรวมถึง เทคโนโลยี คอมมูนิตี้ และธรรมชาติ ได้อย่างลงตัว ดีไซน์ของตัวอาคารจะมีความโดดเด่น โดยออกแบบให้เป็นขั้นบันได จำนวน 1,500 ขั้น ซึ่งสามารถเดินได้จากชั้นล่างไปชั้นบนสุด สวนแต่ละชั้นจะออกแบบด้วยคอนเซปท์ที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยได้อย่างสูงสุด ซึ่งแน่นอนว่าในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ “Park Origin Phayathai” จะกลายเป็น “ปอด” ที่สำคัญใจกลางพญาไท เป็นแหล่งออกซิเจน ที่สร้างอากาศที่บริสุทธิ์ ความร่มรื่น และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยอีกด้วย

“Park Origin Phayathai” ให้คุณได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าที่เคย ด้วยสวนสีเขียวที่เชื่อมต่อกันทุกชั้น

สัมผัสชีวิตมุมใหม่…ใครก็ให้ไม่ได้ ที่ “Park Origin Phayathai” คลิก https://bit.ly/2PkTe6W

References:

human.tru.ac.th

weforum.org