NOBLE มั่นใจรายได้-ยอดขายปีนี้เข้าเป้า เหตุโควิดดีขึ้นหนุนกิจกรรมใน H2
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ในปี 63 ยังทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาถึงปัจจุบันจะมีแรงกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 เข้ามากระทบทำให้การโอนโครงการคอนโดมิเนียมให้กับลูกค้าอาจจะมีความล่าช้าออกไปบ้าง เนื่องจากการปิดล็อกดาวน์ในช่วงเดือนเม.ย.ทั้งเดือน และข้อจำกัดในการทำธุรกรรมและกิจกรรมต่างๆ ทำให้การโอนชะลอตัวลงบ้าง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/63 ที่คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่มีรายได้ต่ำสุดในปีนี้ราว 900-1,000 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1/63 ที่ทำรายได้ 2.1 พันล้านบาท ทำให้รายได้ในครึ่งปีแรกน่าจะทำได้ราว 3 พันล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าการทยอยผ่อนคลายมาตรการของภาครัฐในปัจจุบันและในระยะต่อไป และการที่สถานการณ์โควิด-19 ในไทยสามารถควบคุมได้ ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังจะทยอยกลับมาสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้การโอนโครงการให้กับลูกค้าทำได้มากขึ้น โดยที่ในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีโครงการคอนโดมิเนียมทยอยโอนเพิ่มเข้ามา 3 โครงการ ตั้งแต่ไตรมาส 3/63 เป็นต้นไป คือ โครงการ NOBLE BE19 สุขุมวิท โครงการ NOBLE AROUND สุขุมวิท 33 และโครงการ NUE Noble แจ้งวัฒนะ โดยคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาเกือบ 8 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง จาก Backlog ที่มีอยู่กว่า 1.54 หมื่นล้านบาท ทำให้รายได้ในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย
นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าระบายสต็อกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมโอนที่มีมูลค่ารวมกว่า 4 พันล้านบาท เพื่อสร้างรายได้และกระแสเงินสดกลับเข้ามาให้กับบริษัท ซึ่งตั้งเป้าระบายสต็อกโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมโอนในปีนี้อยู่ที่ 2 พันล้านบาท ซึ่งได้ขายไปบางส่วนแล้วในช่วงครึ่งปีแรก โดยที่บริษัทได้มีการปรับลดราคาลงมาเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงมากขึ้น และในวันที่ 1 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ บริษัทจะออกแคมเปญมากระตุ้นการระบายสต็อกเพิ่มเติมด้วย
ขณะที่การขายของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาถือว่าถูกผลกระทบของโควิด-19 เช่นเดียวกัน ทำให้การขายและการเปิดโครงการใหม่หยุดชะงักและชะลอออกไป ซึ่งปัจจุบันบริษัททำยอดขายได้เพียง 1.4-1.5 พันล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายในปี 63 ที่ตั้งเป้าไว้ 1.2 หมื่นล้านบาท และเปิดโครงการใหม่ไปเพียง 1 โครงการ คือ โครงการ Noble Above Wireless-Ruamrudee มูลค่า 1.05 พันล้านบาท จากแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 7 โครงการ มูลค่ารวม 2.5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจว่ายอดขายยังสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากการกลับมาเดินหน้ารุกเปิดโครงการตามแผนงานที่วางไว้ที่เหลืออีก 6 โครงการ มูลค่ารวมเกือบ 2.4 หมื่นล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ซึ่งปัจจุบันสำนักงานขายของโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง 4 แห่ง ได้สร้างเสร็จรอเปิดบริการขายแล้ว ได้แก่ งามวงศ์วาน ทองหล่อ รัชดา และไฟฉาย แต่บริษัทยังรอดูจังหวะของตลาดที่เหมาะสมก่อน ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าหากเปิดการขายแล้วจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยที่บริษัทจะเน้นไปที่การพัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางมากขึ้น ราคาขายจะปรับลงมาต่ำกว่า 5 ล้านบาท เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
สำหรับงบลงทุนของบริษัทที่ตั้งไว้ 7-7.5 พันล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้เป็นงบลงทุนสำหรับการก่อสร้างโครงการมากที่สุด ส่วนการซื้อที่ดินบริษัทยังขอดูความเหมาะสมของทำเลที่จะพัฒนาแล้วได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งบริษัทไม่เร่งรีบในการซื้อที่ดินเข้ามาเพิ่ม เพราะปัจจุบันมีปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนทำให้บริษัทต้องหันมาเน้นการบริหารจัดการต้นทุนและกระแสเงินสด รวมถึงการระบายสต็อกออกเพื่อสร้างรายได้กลับมา เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
โดยในด้านการเงินของบริษัทในปัจจุบันมั่นใจว่ามีความเพียงพอรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เพราะบริษัทมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงินที่อนุมัติวงเงินกู้ที่บริษัทสามารถเบิกใช้ได้กว่า 6 พันล้านบาท และยังมีกระแสเงินสดกว่า 2 พันล้านบาท เพื่อมารองรับสถานการณ์รองรับการจ่ายค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายของบริษัท และรองรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด โดยที่บริษัทจะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในช่วงเดือนพ.ย.นี้ มูลค่า 1.05 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะออกหุ้นกู้ใหม่ในช่วงปลายเดือนต.ค.-ต้นพ.ย.นี้ เพื่อชดเชยหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดอายุ
นอกจากนี้บริษัทคาดว่าจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายที่ดิน 31 ไร่ ในเมืองฟูราโน่ ประเทศญี่ปุ่น มูลค่าราว 200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าดีลการขายดังกล่าวจะเสร็จสิ้นและบันทึกกำไรพิเศษเข้ามาในช่วงพ.ย.นี้ และก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการขายโครงการ Noble Remix Commercial ให้กับกองรีท โดยมีการบันทึกกำไรจากการขายเข้ามาแล้วราว 1 พันล้านบาท
CR. สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)