#กฎใหม่ใครได้ใครเสีย เกณฑ์การบังคับใหม่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกวันที่ 9 พ.ย. 61
สำหรับกลุ่มที่ได้รับการยกเว้น
?ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยก่อน 1 เม.ย. 62 (ใครมองหาที่อยู่ใหม่ควรรีบซื้อและโอนก่อนเมษายนปีหน้า)
?ผู้กู้ที่ทำสัญญาจะซื้อจะขาย หรือผ่อนดาวน์ก่อน 16 ต.ค. 61 (ซื้อสัญญาต่อจากคนที่จองก่อน 16 ต.ค. 61 ยังกู้ได้เต็ม 100%)
กลุ่มผู้เสียประโยชน์
ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยตั้งแต่ 2 หลังขึ้นไป (กรณีผ่อนหลังแรกยังไม่หมด)
?โดนเต็มๆกลับสำหรับกลุ่มพนักงานกินเงินเดือนที่มีบ้านอยู่ชาญเมือง แต่การจราจรในกรุงเทพฯช่างไม่เป็นใจ กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ซื้อคอนโดใกล้ออฟฟิศหรือรถไฟฟ้าเพื่อสะดวกเดินทางไปทำงาน แต่กลับบ้านช่วงวันหยุดแทน
? มีบ้านหลังแรกอยู่ต่างจังหวัดย้ายเข้ามาเรียนหรือทำงานในกรุงเทพฯ หรือในกรณีที่ต้องการซื้อคอนโดให้ลูกมีหลักแหล่งอยู่กรุงเทพฯ ปกติกลุ่มนี้เป็นชนชั้นกลาง ถ้าต้องเรียนหรือทำงานในกรุงเทพฯเป็นเวลานานๆมักจะซื้อคอนโด
? ซื้อบ้านให้พ่อแม่ หนุ่มสาวสมัยนี้ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง แต่ก็อยากให้พ่อแม่อยู่สบาย หากมีมาตราการนี้ก็ต้องมีเงินสดไม่น้อยถึงจะสามารถซื้อบ้านหลังที่ 2
☹️ ผู้ที่กู้ซื้อบ้านและคอนโดมูลค่าเกิน 10 ล้านต้องวางเงินดาวน์ถึง 20% ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะซื้อโครงการ Park24 ตรงพร้อมพงษ์ ถ้าซื้อแบบ 1 ห้องนอน 40 กว่าตร.ม. มูลค่าเกิน 10 ล้านแล้ว สำหรับครอบครัวอาจจะต้องขยับไปซื้อบ้านไกลๆ ราคา 10 ล้านปัจจุบันสามารถซื้อบ้านดีได้ในทำเลที่ #แสนไกล
? กลุ่มนักลงทุนอสังหาฯ อาจจะต้องใช้เงินสดของตัวเองมาจมกับเงินดาวน์ จากที่ปกติสามารถกู้แบงค์มาลงทุนได้100%
? ผู้ประกอบการอสังหาฯ คงขายของกันยากขึ้น เพราะคนไทยมีเงินสดเกินล้านกันไม่ถึง 1 %
สำหรับกลุ่มผู้ได้ประโยชน์
? คนที่มีเงินสดอยู่ในมือ แน่นอนว่าเมื่อของขายยากแล้วมีคนอยากขายเยอะ ใครมีเงินสดก็เตรียมช๊อปปิ้งกันได้เลย
? กลุ่มผู้ที่มีอสังหาฯสำหรับปล่อยเช่า ในเมื่อคนเกินครึ่งไม่มีกำลังในการซื้อบ้านและอสังหาฯ แต่ยังไงก็ต้องการที่อยู่อาศัย กลุ่มนายทุนก็สามารถซื้ออสังหาฯมาปล่อยเช่าได้ นี่แหละธุรกิจเสือนอนกิน สำหรับคนจนและชนชั้นกลางก็อาจจะต้องเช่าอยู่ต่อไป ทำงานจ่ายค่าเช่ากันต่อไป
? กลุ่มต่างชาติที่ต้องการซื้ออสังหาฯในไทย เรื่องเงินดาวน์ไม่ใช่ปัญหาของต่างชาติ เพราะด้วยรายได้ที่สูงกว่าคนไทยและราคาอสังหาฯในไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วถูกกว่ามาก ๆ (ราคา 10 ล้านแทบจะซื้อคอนโดทำเลดี ๆในต่างประเทศไม่ได้ด้วยซ้ำ เช่น ฮ่องกงราคาคอนโดเฉลี่ยต่อ ตร.ม.อยู่ที่ 7.5 แสน สิงคโปร์ 5 แสน ญี่ปุ่น 4.5 แสน เป็นต้น) ดังนั้นถ้ามี Supply เหลือล้นแบบที่คนไทยจับต้องไม่ได้ ต่างชาติคงจะช๊อปปิ้งกันสนุก อีกหน่อยคนไทยคงไม่ได้มีโอกาสอยู่บ้านทำเลดีๆ อีกแล้ว
งานนี้ใครได้ใครเสียคงต้องคิดกันให้ดี จะออกแนวเอื้อคนรวย สกัดดาวรุ่งคนชนชั้นกลางรึเปล่า? แต่หากคิดแล้วมีความจำเป็นต้องซื้ออยู่อาศัยจริงๆแอดมินแนะนำให้ซื้อก่อน 1 เม.ย. 62 คงจะเป็นทางรอดเดียวของมนุษย์เงินเดือนตาดำๆอย่างเรา 🙂